เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ส.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังนะ.. ด้วยความปรารถนาดีของพ่อแม่ใช่ไหม พ่อแม่ต้องรักลูกเป็นธรรมดา พ่อแม่รักลูก พ่อแม่ขวนขวายส่งเสียลูกไปเรียนเมืองนอก ไป ๓ พี่น้องไปอยู่เมืองนอกหมดเลย แล้วพอกลับมานี่ แม่มาบวชชี เห็นแม่บวชชี แล้วไปว่าแม่เสียเวลาเปล่า บอกว่าแม่อยู่บ้านทำอะไรก็ได้ ทำความดีทำที่ไหนก็ได้ ทำไมต้องไปบวชชี ทำไมต้องวุ่นวายขนาดนี้ ความดีก็คือความดี

เราบอกถูกต้อง ความดีก็คือความดีไง พอคือความดี เราประพฤติถึงที่สุด เห็นไหม พูดถึงบอกว่า นี่มากราบทำไม มาวัดทำไม มากราบทำไมทองเหลือง มันมีอะไรขึ้นมา.. เราบอกว่านี่พระพุทธเจ้า เราไม่ได้กราบทองเหลืองนะ เรากราบคุณงามความดี กราบถึงเมตตาคุณ ปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าที่ทำให้เป็นสังคมไทย

สังคมวัฒนธรรมไทยนี้ แล้วเอ็งเกิดในสังคมวัฒนธรรมนี้ เอ็งมีโรงงาน เอ็งทำธุรกิจในสังคม เอ็งไม่เห็นบุญคุณของสังคมนี้เลยเหรอ สังคมที่ความร่มเย็นเป็นสุขขนาดนี้ แล้วเอ็งไหว้พ่อแม่ทำไม พ่อแม่มีคุณกับเอ็งไหม.. มี พ่อแม่มีบุญคุณไหม ถ้าพ่อแม่มีบุญคุณ เห็นไหม นี่เขาพูดนะ นี่ความคิดของเขานะ

“ถ้าพ่อแม่ของผม เกิดผมขึ้นมาแล้วเอาผมไปทิ้งถังขยะ แล้วมีคนที่เก็บผมไปเลี้ยง คนที่เลี้ยงผมขึ้นมาให้ผมฆ่าแม่ผม ผมก็ฆ่าแม่ผม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพ่อแม่ของใครเอาเด็กไปทิ้ง พ่อแม่นั้นใจทรามมาก” เขาพูดอย่างนี้เลยนะ เราบอกว่า อันนั้นถ้าพูดถึงแล้วคนที่เลี้ยงเอ็งมามีบุญคุณไหม คนที่เลี้ยงเอ็งมามีบุญคุณไหม

คุณคือคุณไง.. เราจะบอกว่า เขาคิดมิติเดียว เห็นไหม เราบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละมานี่มันเป็นธรรมเหนือโลก ธรรมที่เป็นอีกมิติหนึ่งที่เรามองเห็นไม่ได้ เขาถึงบอกว่าอย่างนี้นะ บอกว่าพระพุทธเจ้านี่ตายไปแล้วก็แล้วกันไป ทำไมต้องไปกราบเขาอีก มนุษย์นี่สูญพันธุ์นะ มนุษย์ตายแล้วนี่หมดกัน.. เราบอกเอ็งเห็นฟอสซิลไหม ฟอสซิลของมนุษย์ที่เก็บมา ๘๐ ล้านปี ๑๐๐ ปีก็มี มันบอกว่าไอ้เรื่องนี้วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ได้มากกว่านั้น

เราบอกว่านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่องค์ที่ ๔ ตั้งแต่พระกกุสันโธลงมานี่องค์ที่ ๔ แล้วจะมีองค์ที่ ๕ คือพระศรีอริยเมตไตรย แล้วจะมีองค์ที่ ๖ ไปนะ.. ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ใช่ไหมว่าคนมาจากลิงซิมแปนซีใช่ไหม เราบอกว่าถ้าลิงซิมแปนซีนี่มันเป็นแค่ปรับยุค ยุคเดียวเท่านั้นเอง แล้วยุคก่อนหน้านั้นที่พระพุทธเจ้าอีก ๓ องค์ องค์ที่ ๔

เขาบอกมนุษย์ปัจจุบัน.. คือเขาจะปฏิเสธนรก สวรรค์ไง “ถ้านรก สวรรค์มี ถ้าผีมีจริง ต้องให้ผีมานั่งกับผมนี่ ถ้าผีมีจริงกูจะเลี้ยงกาแฟผี” มันว่า กูจะเลี้ยงข้าวผี มันบอกมันจะเลี้ยงข้าวผีนะ ถ้าผีมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ต้องเอาผีมานั่งให้ผมดู นี่มันพิสูจน์ไม่ได้ตรงนี้ไง มันพิสูจน์กับมันไม่ได้

เราบอกพระพุทธเจ้านี่มีคุณ เรากราบถึงบุญคุณของท่าน เรากราบถึงปัญญาคุณที่ตกผลึกมาในหัวใจเรา ถ้าอย่างนั้นต้องกราบเอดิสัน เพราะเอดิสันมันก็ทำไฟให้มนุษย์ใช้ โอ้โฮ.. (หัวเราะ) เราบอกว่า ใช่ ! เขาทำประโยชน์กับโลก เขาทำประโยชน์เพื่อปัจจัยของโลกใช่ไหม แต่ดูสิถ้าเอ็งกราบเอดิสัน เอ็งต้องกราบบิลล์ เกตส์ด้วย แล้วบิลล์ เกตส์มันรวยขนาดไหน

คือเขาคิดเพื่อประโยชน์ของเขาไง เขาทำธุรกิจของเขาใช่ไหม ใช่... มันเป็นประโยชน์กับโลกจริงอยู่ แต่มันก็เป็นธุรกิจการค้าของเขา นี่คิดด้วยโลกๆ ไง.. จริงๆ มันเป็นคุณไหม.. เป็นคุณนะ นักวิทยาศาสตร์สร้างคุณประโยชน์ให้กับโลกนี่เป็นคุณจริงๆ แต่มันเป็นเรื่องของโลกใช่ไหม เป็นเรื่องของโลกมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหัวใจหรอก หัวใจนี่มันเป็นไปไม่ได้

แล้วมันมองมิติเดียว เห็นไหม คือปฏิเสธไงว่ามนุษย์ต้องสูญพันธุ์ ทำไมไดโนเสาร์มันสูญพันธุ์ไป เราบอกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไป มันสูญพันธุ์ไป แต่พอเวลามันปรับนี่พระศรีอริยเมตไตรยออกไปข้างหน้ามันจะมีอีก

นี่มันพูดกันเชิงวิทยาศาสตร์ พูดกันไม่มีวันจบ พอพูดไม่มีวันจบ.. เวลาเขาพูดอะไรนี่เราอัดแรงๆ เลยนะ อัดแรงๆ ตลอด เพราะพ่อแม่เขาบอกแล้ว พ่อแม่เขาพามา เด็กเป็นคนดีหมดนะ ตอนนี้เด็กพวกเรานี่นิสัยดีทั้งนั้นล่ะ แต่ความเชื่อ ทิฐิไง เพราะในสมัยพุทธกาลก็มี เราอย่าไปปรารถนานะว่าเราแสดงธรรม หรือธรรมะนี่ ทุกคนจะเชื่อ ทิฐิของคน.. พระอรหันต์ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลก็ไม่เหมือนกัน เห็นไหม เอตทัคคะแต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน ความเห็นไม่เหมือนกัน

สมัยพุทธกาลนะ มีกษัตริย์องค์หนึ่งไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาเป็นกษัตริย์ใช่ไหม เขาเอานักโทษมาฆ่า เอานักโทษไปประหาร ถึงเวลานั้นเขาเอาแก้วครอบไว้ ทำแก้วครอบไว้ แล้วคอยดูวิญญาณออก เอานักโทษไปประหาร สั่งมาเลยนะเดี๋ยวกูประหารเอ็ง แล้วเอ็งจะไปตกนรกหรือไปสวรรค์เอ็งต้องกลับมาบอกกูนะ.. พิสูจน์อย่างนี้จนเขาไม่เชื่อ

ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ มันก็มีคนไม่เชื่อเหมือนกัน พอมีคนไม่เชื่อ นี่มีครูบาอาจารย์ไปแก้ไง บอกว่าเวลาถ้าตกนรกไปแล้วมันก็เหมือนกับคนติดคุกออกมาไม่ได้ ถ้าไปสวรรค์นะมันก็ติดกาลเวลา ติดต่างๆ เขาไม่มาหรอก มาไม่ได้ พูดจนเหตุจนผลนะ จนกษัตริย์นี้เชื่อ พอกษัตริย์นี้เชื่อก็ให้กษัตริย์ประกาศว่าเราเชื่อเรื่องการเกิดและการตาย ประกาศไม่ได้.. ทั้งๆ ที่เชื่อแล้วนะ แต่ประกาศไม่ได้เพราะอะไร เพราะเสียศักดิ์ศรี เสียสถานะของกษัตริย์

นี่ความเชื่ออย่างนี้.. แล้วพูดถึงเวลาเขามา เขาว่าไม่เชื่อๆ สิ่งที่เขาไม่เชื่อมันเป็นทิฐิ มันเป็นความเห็น แต่เขาไม่ใช่คนไม่ดี พ่อแม่ทุกคนบอกลูกนี่เป็นคนดี แต่อยากให้ลูกนี่นะมีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจไป

คำว่าหลักเกณฑ์.. หลักเกณฑ์หมายถึง ดูต้นไม้นะ ต้นไม้เวลาเราราดสารเคมีไปมันจะซึมไปที่รากใช่ไหม พอรากมันดูดปั๊บต้นไม้มันก็จะตายหมด

การแก้กิเลสนะ.. รากของใจ ! รากของใจ ! นี่ความคิดมนุษย์มันเป็นผิวเผิน มันเป็นความรู้มิติเดียว มันตัดตอนรากเหง้าของใจเลย ถ้ามีความคิดแบบวิทยาศาสตร์มันจะตัดรากเหง้าของใจ พอตัดรากเหง้าของใจ นี่การทำภาวนามันจะไม่เข้าไปชำระกิเลสจากอุปาทาน จากใต้รากเหง้าของใจนั้นได้ แล้วคนที่จะเข้าไปถึงรากเหง้าของใจนี้.. นี่มันมิติ เห็นไหม

ดูสิทำไมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า สุตมยปัญญา.. การศึกษาที่มันเถียงๆ กันอยู่นี่มันแค่สุตมยปัญญา มันยังไม่เป็นจินตมยปัญญาเลย แล้วมันยังไม่เป็นภาวนามยปัญญาเลย.. มันรู้ไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันเป็นปฏิเสธรากเหง้าตรงนี้ไง มันปฏิเสธรากเหง้าของมัน ของความรู้สึก ของรากของใจ รากของใจคือสิ่งที่ว่าเป็นจิตใต้สำนึก สิ่งต่างๆ นี่กิเลสมันอยู่ที่นั่น มันไม่ได้อยู่ที่สามัญสำนึกนี้หรอก

นี้สามัญสำนึกนี่เราเกิดเป็นมนุษย์ เราศึกษาธรรมะกัน นี่เราศึกษาขึ้นมาเราซึ้งใจกันใช่ไหม เราซึ้งใจน้ำตาไหลนะ ซึ้งใจมากสะเทือนหัวใจ มันก็เป็นสุตมยปัญญา มันเป็นแค่การศึกษาของเราเท่านั้นเอง มันยังไม่กระเทือนถึงหัวใจเลย เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา

นี้มันพูดถึงมิติของวิทยาศาสตร์ใช่ไหม เราบอกวิทยาศาสตร์นี่ วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ พิสูจน์ศาสนา พิสูจน์ให้เห็นภาพชัดของศาสนาได้ แต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ตัวศาสนาไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้เพราะอะไร เพราะวิทยาศาสตร์มันต้องพิสูจน์ออกมาเป็นรูปธรรมใช่ไหม แต่ในศาสนามันเป็นรูปธรรมทางจิตนะ อย่างเช่น ! เช่นเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์พระสารีบุตร เห็นไหม ที่หลานพระสารีบุตรไปต่อว่าพระพุทธเจ้าว่าไม่พอใจสิ่งต่างๆ คือจะไปต่อว่าพระพุทธเจ้าว่าเอาตระกูลพระสารีบุตรไปบวชไง พระพุทธเจ้าบอกว่า

“ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึก” นี่นามธรรมแล้ว !

“เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง”

เป็นวัตถุเลย เป็นสสาร เป็นสิ่งที่จับได้เลย เพราะอะไร เพราะธาตุรู้ไง ธาตุรู้เป็นธาตุนะ คำว่า “ธาตุรู้นะ” ความรู้สึกเรานี่เป็นธาตุอันหนึ่ง แต่เราไม่สามารถเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไปจับได้ แต่ถ้าเราจิตสงบเข้ามา เอาตัวจิตไปจับมันได้ เอาความรู้สึกเรานี่จับมัน สตินี้เข้าไปกั้นมันก่อน แล้วเอาความนี้เข้าไปจับมัน ถ้าเข้าไปจับมัน เห็นไหม นี่ความรู้สึกต่างๆ มันถึงแก้ได้ไง ถึงเป็นกิจจญาณไง ถึงมีการกระทำไง

ถ้ามีการกระทำอย่างนี้.. พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ จะพูดเป็นวิทยาศาสตร์ปั๊บ พวกเด็กมันจะคิดกันทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.. ก็มีหมอมาหานะ หมอมันทำวิจัยเรื่องสมอง นี่มาจากศิริราช เขาทำวิจัยของเขาเลย พอทำวิจัยถึงที่สุดแล้วสมองคิดได้อย่างไร ถึงที่สุดแล้วนี่สมองเป็นธาตุ เขาคิดไม่ได้ ทำวิจัยแล้วมันไปไม่ได้ตลอดไง เขาก็มาหาเรา แล้วเขาก็บอกว่า

นี่เราจะบอกว่า มันเกี่ยวเนื่องกัน มันเกี่ยวเนื่องกันนะ.. มันเกี่ยวเนื่องกัน เพราะเราเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์นี่มันมีสมอง มันมีศูนย์บังคับบัญชาร่างกาย มันมีสมองของมัน แต่สมองนี้ถ้ามันไม่มีพลังงานคือตัวจิต มันเกี่ยวเนื่องกันไง.. ถ้ามีตัวจิต มีความรู้สึก สมองถึงทำงาน ถ้าไม่มีตัวจิต คือเหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มีไฟฟ้าเข้าไปนี่มันจะทำงานไม่ได้ มันจะทำอย่างไร ดูสิมันสันตติ เห็นไหม คือว่ามันเกี่ยวเนื่องกันไง

นี้เวลาคนที่เป็นพวกเจ้าชายนิทรา ที่นอนไม่มีวันรู้สึกตัว นี่สมองเขามีไหม สมองพิการไปไง แล้วความคิดมันมาจากไหน มันคิดไม่ได้ เห็นไหม เราต้องฟื้นฟูสมองของเขา นี่มันเกี่ยวเนื่องกันเพราะอะไร เพราะมันเป็นภพของมนุษย์ มีร่างกายกับจิตใจ แต่ถ้าเป็นเทวดาไม่มีแล้ว.. ไม่มีร่างกาย เป็นทิพย์ ไม่มีสมองแล้วเขาสั่งงานกันอย่างไร เขาสั่งงานทางความรู้สึกไง ทางหัวใจไง ทางจิตไง จิตมันสั่งงานได้ไง

เวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการเทวดานี่ มันภาษาใจ.. ภาษาใจคือภาษานึกไง ไม่ใช่ภาษาพูด ภาษานึก.. ความจริง เวลาเราจะพูดอะไรออกมานี่ มันจะมีภาษานึกออกมาก่อน ภาษานึกก็คือภาษาที่ควบคุมทางใจ แล้วไอ้ตัวนั้นคือตัวใจ ทีนี้ตัวใจ.. ถ้ามันเป็นใจล้วนๆ นี่มันเป็นอย่างนั้น

แต่นี้เราเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์มันมีร่างกายด้วย มันถึงเกี่ยวเนื่องกัน นี่เขาพิสูจน์แล้วเพราะอะไร เพราะวิทยาศาสตร์บางอย่างมันพิสูจน์ไม่ได้ เห็นไหม ดูสิ เดี๋ยวนี้สิ่งต่างๆ อย่างเช่นกล้องนี่เขาจะถ่ายย้อนเวลาเข้าไปเลย เวลาวิทยาศาสตร์พิจารณาอะไรได้ พวกเราทึ่งกันมากนะ ทึ่งอย่างนั้นมันเป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไม่มีชีวิต ! เพราะมันไม่มีความรู้สึก !

คอมพิวเตอร์นะ เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์มันคำนวณต่างๆ มันดีกว่ามนุษย์เยอะเลย แต่มนุษย์ก็สร้างมันมานะ แล้วมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์หรอก แต่ความสุขความทุกข์นี่มันคือใจของเรา สิ่งนี้ถ้าใจของเรา แล้วใจของเรานี่มันเปลี่ยนแปลง ดูสิเราเกิดกันมานี้ทำไมนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน อารมณ์เรานี่ เรายังควบคุมอารมณ์เราไม่ได้เลย อารมณ์เรานี่เรายังควบคุมมันไม่ได้เลย แล้วถ้าไม่มีธรรมอันนี้เข้าไปจำกัด..

ธรรม ! ธรรมคือสติธรรม ปัญญาธรรมที่เข้าไปรับรู้ แต่พอมันปฏิเสธตรงนี้ไง ปฏิเสธว่าต้องเป็นวิทยาศาสตร์เห็นไหม ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์กัน ผีมานี่ ถ้าผีมามันบอกมันจะเลี้ยงกาแฟ ถ้าไม่เอาผีมากินกาแฟให้มันเห็น มันไม่เชื่อว่าผีมี

กูก็ถามมึงว่า “แล้วผีในตัวมึงล่ะ ! ผีในตัวมึงล่ะ” มันบอกว่า “ไม่มี.. ตายแล้วสูญ ! มนุษย์คือ สูญพันธุ์” มันยืนยันเลยว่าต่อไปมนุษย์จะสูญพันธุ์ กูบอกว่า “เป็นไปไม่ได้.. เป็นไปไม่ได้ !” มันบอกไม่เชื่อหรอก ถ้าไม่เชื่อทำไมไดโนเสาร์มันสูญพันธุ์

เราจะไม่พูดทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะไดโนเสาร์สูญพันธุ์นี่มันย่อส่วนนะ คือมันทำได้ ดูอย่างพวกโคลนนิ่งทำไมเราทำของเราได้ เวลาโคลนนิ่งเขาเอาส่วนของเซลล์นี่ เอามาเริ่มต้นปลูกถ่าย จนเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ขึ้นมาได้

อันนี้มันอันตรายมาก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะสิ่งที่เราเกิดเราตายกันนี้ เห็นไหม สิ่งที่เป็นกรรมพันธุ์ เขาพิสูจน์กันนะ.. มนุษย์ทางโลกนี่ ดีเอ็นเอมันมีตัวที่คล้ายกันมากเลย เขาบอกว่า แล้วต้นขั้วนี่เขาจะพิสูจน์ไปที่แอฟริกา แต่ตอนนี้พิสูจน์ผิดแล้ว ทางวิทยาศาสตร์กำลังพิสูจน์ว่า สิ่งที่มานี่มาจากเจงกีสข่านเพราะเจงกีสข่านมันตีเข้าไปในยุโรป นี่ดีเอ็นเอตัวนี้ไปจับคนๆ เดียว แต่แพร่กระจายไปเกือบทั่วยุโรปเลย

สิ่งอย่างนี้มันคิดของมันเอง มันคิดทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ได้คิดถึงสังคมวัฒนธรรมที่มันเปลี่ยนแปลงมา นี่เฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้นะ แล้วเวลาภพชาติ แล้วเวลาอาณาจักรล่ะ แล้วสิ่งที่เป็นไปล่ะ นี่มันคิดประสาวิทยาศาสตร์ปั๊บ วิทยาศาสตร์มันมิติเดียว.. มิติทางวิทยาศาสตร์ มิติทางโลก นี่ไง “ธรรมเหนือโลก” ถ้าธรรมเหนือโลกมันเหนือตรงนั้นอีก

นี้มันถึงกาลเวลาเพราะอะไร เพราะพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า อนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ แล้วคิดดู กาลเวลาแต่ละภพแต่ละชาติ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ขนาดไหน.. แล้วเราเชื่อไหมว่าสมัยก่อนหน้านั้นมนุษย์อายุ ๘๐,๐๐๐ ปีนี่เราเชื่อไหม ๑๐๐ ปีเรายังอยู่กันไม่ได้เลย แล้วอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี.. เราไม่ต้องอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีหรอก เราแค่พิสูจน์กันนี่ คนโบราณ เห็นไหม สูงใหญ่มาก คนโบราณจะร่างกายสูงใหญ่มากเลย แล้วคนปัจจุบันนี้ตัวเล็กลง ทุกอย่างเล็กลงหมดเลย

แล้วตอนนี้ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ เห็นไหม ญี่ปุ่นเมื่อก่อนคนตัวเล็กมาก เพราะอะไร เพราะด้วยอาหารเสริม คือกินนมเข้าไปมากๆ คนญี่ปุ่นจะแข็งแรงขึ้นมา จะโตขึ้นมา โตขึ้นมานี้มันเป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ทั้งนั้นแหละ แต่จะสูงจะต่ำขนาดไหน ถ้าพูดถึงศาสนาเรา มันเรื่องของกรรม ถ้ากรรมปั๊บ สิ่งนี้มันเป็นของชั่วคราวไง เราบอกนี่มันจริงตามสมมุติ มันเป็นของชั่วคราว มันเปลี่ยนแปลง.. แต่ถ้าศาสนานี่เข้าไป ถ้าจำกัดมันได้นะมันจะเป็นความจริง

ปัญญาเขาดี นี่เขาเรียกว่าทิฐิ จะบอกผิด.. ไม่ได้ผิดนะ เราสงสารมาก สงสารเพราะอะไร สงสารเพราะว่าเขารู้ เวลาเขาเทียบนะ เวลาพูดถึงในศาสนาเขาอธิบายเรื่องศาสนาพราหมณ์ก่อนเลย แล้วคริสต์มาอย่างไร วันหนึ่งนี่ศาสนาที่ขาดหายไป เราถามเลยว่า ปฏิทินนี้ โลกมีใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ โลกนี้ใช้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ววันหายไปวันหนึ่งก็พิสูจน์กันไง พระเจ้าสร้างโลก เขาว่าของเขา นั่นเขาก็ไม่เชื่อของเขา นี่เขาไม่เชื่อทุกศาสนา เขาพิสูจน์มาแล้ว นี่เถียงกันมาก เถียงกัน

ไอ้ที่เราพูดนี่เรารู้อยู่ว่ามันพูดไปนี่.. เพียงแต่มันได้ประเด็นที่ว่าเราให้คติไง แบบว่าช็อก ! ช็อก ! ตลอด บางวันช็อกไปหลายดอก ช็อกเข้าไป เงียบเลย.. จนสุดท้ายเวลาจบแล้วก็ถามเลยล่ะ

“หลวงพ่ออายุเท่าไหร่”

“อายุ ๕๗”

“โอ้โฮ.. หลวงพ่อเหมือนวัยรุ่นเลย พูดภาษาเดียวกัน”

ช็อกเข้าไปเลย ! ช็อกเข้าไปเลย ! ๓ พี่น้องไม่เชื่อเลย ไอ้ไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่ดีนะ เขาเป็นคนดีอยู่แต่ไม่เชื่อ แต่พ่อแม่อยากให้เชื่อ พ่อแม่อยากให้เรารู้สึก.. เหมือนกับเรา ถ้าเราเชื่อนี่ จิตใจเราลึกลงไปอีกระดับหนึ่ง คือเรามีรากเหง้า เรามีฐานของเรา ความคิดเราไม่หลักลอย เห็นไหม ความคิดเราเป็นวิทยาศาสตร์ นี่ความคิดลอยลมนะ

ถ้าพูดถึงโลกเปลี่ยนแปลงไป ดูสิอย่างนี้ แค่ไฟฟ้าไม่มีนี่ตายหมดแล้ว ดำรงชีวิตกันไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้พัฒนากันจนทุกอย่างต้องอาศัยเครื่องอำนวยความสะดวกหมดเลย แล้วพอมันมีปัญหาขึ้นไปนะ เราดำรงชีวิตไม่ได้แล้ว.. แต่ถ้าเรามีความเชื่อของเรา เห็นไหม โลกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าศาสนาเรามีอย่างนี้ แล้วเรามีหลักเกณฑ์อย่างนี้

ในปัจจุบันนี้ เด็กๆ นี่หุงข้าวเช็ดน้ำไม่เป็นหรอก มีแต่กดปุ่มหมดเลย แล้วถ้าเราหุงข้าวเช็ดน้ำเป็นมันจะลำบากตรงไหนล่ะ เรามีวิชาการของเราใช่ไหม ไม่ใช่แบกหามใช่ไหม มีปัญหาขึ้นมาเราก็หุงข้าวกินได้ เราทำได้ทั้งนั้นล่ะ ความรู้.. แต่พอบอกจะไปทำนี่ไม่อยากทำ ไม่อยากทำแล้วปฏิเสธมันเลย เดี๋ยวนี้กดปุ่มๆ ลืมกดปุ่มก็ไม่ได้กินข้าวนะ

นี่ทางโลกมันเป็นอย่างนั้นไปหมดเลย มันเป็นความสะดวกสบาย ใช่... ปัจจัย ๔ นี้มาให้พวกเราสะดวกสบาย ให้ความดำรงชีวิต.. นี่ไปดูที่ไหน เราไปดูต่างประเทศนี่ เราดูว่าเขาเจริญๆ เมื่อวานเขาเถียงมาก เขาบอกว่าโดยสถิติ ทางยุโรปประชากรเขาดีกว่าทางเอเชีย ดีกว่าเพราะอะไร เพราะว่าเขาไปนี่หัวใจเขาจะดีกว่า การศึกษาของเขา เขาจะช่วยเหลือเจือจานกัน เราบอกถ้ามันดีจริง มันทำไมบุกอิรัก ถ้ามันดีจริงน่ะ มันบอกนั่นเป็นเฉพาะบุคคลอีกแล้ว

เราจะบอกว่าทรัพยากรมันอยู่ทางเราหมด แล้วทรัพยากรนี่เอาสิ่งนี้ไปใช้ของเขาหมดใช่ไหม ไอ้นี่ไม่ว่ากันเพราะมันเป็นอำนาจ มันเป็นกระแส แต่กระแสอย่างนี้นะมันตีกลับ ถึงเวลาตีกลับ เมื่อก่อนศูนย์กลางของโลกอยู่ที่ลอนดอน แล้วสุดท้ายศูนย์กลางของโลกไปอยู่ที่วอชิงตัน แล้วศูนย์กลางของโลกมันจะมาอยู่ที่ปักกิ่ง อ้าว.. คอยดู ศูนย์กลางของโลก อำนาจของโลกมันเปลี่ยนแปลงตลอด ลมการเมืองมันจะเปลี่ยนตลอด แล้วถึงตอนนั้นแล้วนี่คอยดูการเปลี่ยนแปลง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไม่จริงไง

อำนาจ.. เป็นของชั่วคราว แล้วเราไปดูขณะที่เขาเจริญรุ่งเรือง ถ้าพูดถึงว่าเจริญรุ่งเรืองนะ ดูทางวิทยาศาสตร์ ทางต่างๆ เราบอกโคลัมบัสมันออกมาหลังซําปอกงนะ ซําปอกงนี่สำรวจโลกก่อนนะ แต่ซําปอกงไม่ได้ทำเป็นประวัติศาสตร์ไว้ โคลัมบัสมาทีหลัง แต่พอคนเราเอามาบันทึกอย่างหนึ่งว่าโคลัมบัสเป็นคนสำรวจโลก ซําปอกงเว้ยสำรวจโลก

นี่อำนาจการเมืองไง อำนาจการเมืองใครยึดก่อน แต่ประวัติศาสตร์ของจีน ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี เราบอกเลยนะจีนคิดดินปืนได้ก่อน แต่ดันเอาไปทำประทัดบูชาเจ้าไง ฝรั่งเอาไปทำกระสุนเอาไปยึดอำนาจของโลก นี่ไงอำนาจ.. คนคิดอย่างไร นี้อย่างคนทำประทัดบูชาเจ้าบูชาอะไรน่ะ มันเป็นวัฒนธรรมประเพณี แต่มันถึงเวลาแล้วนี่ทรัพยากรมันขาดแคลนไป

นี่พูดถึงทางโลกๆ นะ แต่พูดถึงทางธรรม.. นี่พูดถึงทางธรรมนะ ถ้ามันเชื่อนะ เพราะอะไรรู้ไหม พุทธะอยู่ที่ใจ ความรู้สึกอยู่ที่ใจ พระพุทธเจ้าอยู่ที่เรา แล้วเราปฏิเสธซะ ว่าเกิดตายหมด ไม่มีอะไรเลย.. ไม่มีอะไรเลย ตายแล้วสูญ “พระพุทธเจ้าก็คนๆ หนึ่งกราบทำไม..” มันพูดนะ คือว่าตายไปแล้วก็แล้วกันไปไง จบสิ้นกันแล้วแล้วไปกราบทำไม พอพูดอย่างนี้ปั๊บมันก็ปฏิเสธพุทธภูมิ

การจะเป็นพระพุทธเจ้า การที่เราเป็นคนอยู่นี่ คนดีคนเลว คนที่มีมุมคิดต่างๆ เพราะมันสะสมมา การเกิดและการตายนี้ได้พัฒนาการมันมา เกิดมาดี เกิดมาเป็นอภิชาตบุตร เห็นไหม บุตรเกิดมาดี.. แต่เขาไม่เชื่อตรงนี้ไง เขาไม่เชื่อตรงนี้ มันก็เหมือนกับตัดตอน ตัดตอนคือทำลายที่อยู่ของเรา เราตัดตอน เราบล็อกตัวเราเองนี่มันจะไปไหน แต่เขาไม่ใช่เป็นคนไม่ดี เป็นคนดีมากๆ แต่ด้วยทิฐิ ด้วยความเห็น แต่เมื่อวานพูดไปคงจะได้สะอึกไปเยอะ พ่อแม่ลูกต้องไปนั่งเถียงกัน พ่อแม่ลูกกลับไปคุยกันที่บ้าน

เห็นไหม...สิ่งต่างๆ นี่ทิฐิอย่างนี้มันมี เราจะบอกว่าเหรียญมี ๒ ด้าน แล้วเราอย่าคิดว่าเราแสดงธรรมไปแล้วเขาจะเชื่อ ทิฐิของคนมันปิดมา ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม ถ้าคนเข้าใจแล้วจะสรรเสริญพระพุทธเจ้ามาก เหมือนคนที่เอาของที่คว่ำอยู่ ภาชนะที่คว่ำอยู่มารับสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย ถ้าหงายขึ้นมานะมันจะรับได้

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันมีทิฐิมานะ มันปิดคว่ำอยู่ มันไม่รับอะไรหรอก แต่ถ้าวันไหนมีใครคนหนึ่งไปเคาะมัน แล้วหงายมันขึ้นมาได้นะ ตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับชีวิตเขามากเลย แต่กว่าจะได้แต่ละคน.. การสอนนี่ ครูบาอาจารย์ถึงบอก หลวงปู่มั่นพูดบ่อย

“พระให้ปฏิบัตินะเว้ย ! ผู้เฒ่าจะตายแล้วนะ การแก้จิตมันแก้ยาก ผู้เฒ่าตายไปแล้วจะไม่มีใครแก้นะ”

นี่มันแก้อย่างนี้ไง.. เมื่อวานมาก็รู้อยู่ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่ดีหรอก แต่ในเมื่อมันเป็นอำนาจวาสนาของเขา แล้วเขาไปเติบโตในสังคมอย่างนั้น แล้วสังคมอย่างนั้นมันพิสูจน์กันด้วยหลักวิชาการ ถ้าใครออกจากรอบรู้แล้วคนนั้นคือคนเถื่อน คนป่า คนที่ไม่มีภูมิปัญญา ก็เลยยึดตรงนี้มา

แล้วพอมาเห็นสังคมไทย.. สังคมไทยเป็นสังคมอ้อนวอน สังคมไทยเป็นสังคมป่าเถื่อน แต่ยังไม่ได้คิดเลยนะ ว่าวัฒนธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่มันตกผลึกมากี่พันปี มันพิสูจน์กันได้ไหม ถ้าพิสูจน์ได้ อย่างสังคมประเพณีวัฒนธรรมนั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าลองไปเห็นจริงขึ้นมาสิ เห็นจริงขึ้นมา รู้จริงขึ้นมานี่อยู่ที่ไหนก็พูดได้ อยู่ที่ไหนก็รู้ได้

เทวดา อินทร์ พรหมไม่มีนี่ มาพิสูจน์กัน พิสูจน์ได้เลยเพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตนี้มันเกิดมันตาย ทุกดวงจิตมันต้องเกิดต้องตาย ถ้ามันไม่รู้จริง มันเกิดมานี่ มันยังเกิดยังตายอยู่ มันจะสิ้นสงสัยได้อย่างไร

เหตุที่มันเกิดมันตาย เพราะเรานี่แหละมันเกิดมันตาย แล้วสถานะที่มันเป็นนั้นเป็นสถานที่จิตไปเกิดเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงๆ คือตัวจิตนี้ไปเกิด สถานะที่เป็นสถานะ เป็นเทวดา อินทร์ พรหมนี่เป็นสถานที่ เป็นมิติหนึ่งที่จิตนี้ไปอยู่อีกชั่วคราวๆ แล้วมันหมุนของมันไป.. แต่ไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อ มันก็เหมือนกับถ้าเขาทำดีแล้วเขาไปเกิดก็ เอ๊อะ ! ถ้าเขาไปเกิดเขาไปเอ๊อะ ! ที่นั่นล่ะ

“ตายเมื่อไหร่มันรู้เมื่อนั้น” หลวงตาพูดประจำ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกถ้าขาดเมื่อไหร่ ลมหายใจขาดเมื่อไหร่ พิสูจน์ได้เลย นรก สวรรค์มึงจะรู้เอง.. รู้เองก็ต่อเมื่อถึงที่แล้ว เป็นไปแล้วไง แต่ถ้าเรามีตรงนี้ปั๊บ เราทำของเราเพื่อประโยชน์เราเห็นไหม

นี่ศาสนา.. ศาสนาเป็นการชี้บอก บ่งบอกเข็มทิศของใจได้เลย แต่เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นเครื่องดำรงชีวิตเท่านั้น นี่ประโยชน์ของเรา เห็นไหม ถ้าเราลืม ๒ ตาไง ตาโลกกับตาธรรม ไม่ใช่ตาโลกลืมซะกว้างเลย ตาธรรมหรี่ไม่มองเลย แล้วถึงเวลาแล้วนะมันเสียโอกาสไง เกิดมาแล้วนี่เราควรได้ประโยชน์กับการเกิด แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วย สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง